

รุ่นและราคา MAZDA CX-5
CX-5 2.0S ราคา 1,320,000 บาท
CX-5 2.0 SP ราคา 1,470,000 บาท
CX-5 2.0 XDL ราคา 1,770,000 บาท
CX-5 2.5 Turbo SP ราคา 1,830,000 บาท
เฉพาะ Snowflake White Pearl เพิ่ม 10,000 บาท
เฉพาะ Machine Gray เพิ่ม 15,000 บาท
เฉพาะ Soul Red Crystal เพิ่ม 17,000 บาท


รุ่นและราคา MAZDA CX-8
CX-8 2.5S ราคา 1,499,000 บาท
CX-8 2.5 SP ราคา 1,599,000 บาท
CX-8 2.5 SP Exclusive ราคา 1,639,000 บาท
CX-8 2.5 XDL ราคา 1,799,000 บาท
CX-8 2.5 XDL Exclusive ราคา 2,069,000 บาท
เฉพาะ Snowflake White Pearl เพิ่ม 10,000 บาท
เฉพาะ Machine Gray เพิ่ม 15,000 บาท
เฉพาะ Soul Red Crystal เพิ่ม 17,000 บาท




ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส Mazda Sales Thailand กล่าวว่า วันนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อันเนื่องจากปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ที่กำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ที่สำคัญปลายปีถือเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น รวมถึงแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการใช้จ่ายให้คึกคัก และส่งเสริมการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์อยู่ในระดับต่ำ มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ซึ่งคาดว่าภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 720,000 – 750,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ผนวกกับบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังกลับมาด้วยเช่นกัน





สำหรับ Mazda ในช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องปรับโหมดการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องของการจัดการภายในองค์กรและปรับกลยุทธ์เพื่อผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการจัดการที่รวดเร็วให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการสื่อสาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation ที่สำคัญคือมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง Mazda ดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี และคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 5% หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 38,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้




สำหรับผลประกอบการของ Mazda ที่ผ่านมาระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2564 มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 28,327 คัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% (จากปี 2563 จำนวน 29,979 คัน) แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 16,636 คัน ลดลง 11% ได้แก่ Mazda 2 จำนวน 14,901 คัน Mazda 3 จำนวน 1,732 คัน Mazda MX-5 จำนวน 3 คัน ในขณะที่ยอดขายรถอเนกประสงค์เอสยูวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,659 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 19% แบ่งออกเป็น Mazda CX-30 จำนวน 5,757 คัน Mazda CX-3 จำนวน 3,493 คัน Mazda CX-8 จำนวน 717 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 692 คัน ส่วนปิกอัพ Mazda BT-50 เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรเริ่มเก็บเกี่ยว โดยมียอดขายรวม 1,032 คัน



นอกจากนี้ นายธีร์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจมาสด้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีว่า “นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาดในกลุ่มรถอเนกประสงค์ เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่รวมถึง MAZDA FAMILY SUV อันเป็นโมเดลหลักสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคหันมานิยมรถประเภทนี้มากขึ้น และกำลังเป็นเซกเมนต์ที่มีการเติบโต เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งนี้ยังกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่โชว์รูม ศูนย์การค้า และแหล่งชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย”



