ถือเป็นนางเอกอีกคนที่ไม่ยึดติดกับบทบาทการแสดง สำหรับ น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ที่ช่วงหลังจะได้เห็นเธอรับบทที่หลากหลาย อย่างล่าสุดในภาพยนตร์ “ส้มป่อย” เจ้าตัวก็พลิกบทมารับบทคอมเมดี้แบบหลุดโลก ฉีกลุคนางเอกสุด ๆ วันนี้ “บันเทิงเดลินิวส์” จึงไม่พลาดไปพูดคุยถึงบทบาทการแสดงล่าสุดของเธอ รวมทั้งเผยมุมมองในวงการบันเทิง ที่น้ำตาลบอกว่าอยากทะลุกรอบการแสดงให้มากกว่านี้ นอกจากนี้ยังได้เปิดใจเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม ไผ่ – พาทิศ พิสิฐกุล ที่จับมือกันฝ่าฝันและปรับความคิดเข้าหากัน จนถึงวันนี้ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ พร้อมเผยเรื่องอนาคตที่แม้ยังไม่มีแพลนวิวาห์ที่แน่นอน แต่สาวน้ำตาลก็ตัดสินใจไปฝากไข่ไว้แล้ว

ฉีกบทหลุดโลกในบท “ส้มป่อย”
Q : ถามถึงผลงานล่าสุด “ส้มป่อย” อะไรทำให้เราตัดสินใจรับงานหนังเรื่องนี้?
น้ำตาล : ด้วยความที่เป็นหนังเหนือด้วย คือตาลยังไม่เล่นหนังหรือละครที่เป็นแบบเหนือมาก ๆ ขนาดนี้มาก่อน และก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อน ๆ แชร์ทีเซอร์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ตอนแรกเราลองติดตามมาตลอดว่ามันจะเป็นยังไง สุดท้ายพอรู้ว่าเขาจะเอามาทำเป็นภาพยนตร์ใหญ่ ก็รู้สึกว่าดี พอพี่ ๆ ติดต่อมา เราอ่านบท ก็รู้สึกว่าเยอะ หนักหน่วงเหมือนกันสำหรับคาแรกเตอร์ แต่ถือว่าเป็นความท้าทายดี เลยอยากเล่นค่ะ
Q : เห็นต้องแสดงเป็นสาวเหนือ แถมคาแรกเตอร์มีความคอมเมดี้สูงมาก มีการเตรียมตัวมารับบทยังไง?
น้ำตาล : สำหรับการเตรียมตัวอาจไม่ได้หนักมาก ด้วยความที่เป็นคนเหนืออยู่แล้ว เลยค่อนข้างง่าย ซึ่งเหนือจะมีหลายสำเนียง อย่างตาลเป็นเหนือ จ.แพร่ ตอนแรกก็คิดว่าต้องไปพูดเป็นเหนือ จ.เชียงใหม่ เพราะส่วนใหญ่ที่ถ่ายทำหนังกัน จะเป็นเหนือเชียงใหม่ แต่ว่าเขาชอบสำเนียงแพร่ เพราะเวลาคนแพร่ปะทะคารม มันจะไม่มีความอ่อนหวานมาก เลยค่อนข้างง่าย ที่ต้องปรับเลยคือการกินของดิบ การเต้นแบบขี้เหล้าหน่อย ตอนแรกมีความอายอยู่เหมือนกัน (ยิ้ม) ซึ่งของดิบเราต้องกินจริง และเป็นลาบดิบเลย และก่อนหน้านี้ตาลเว้นเนื้อไปสักพักนึงแล้ว เลยบอกว่าไม่เป็นไร เพื่อความสมจริง เลยกลับมากินเนื้อใหม่ พอเป็นเนื้อดิบ และมีเครื่องปรุงของภาคเหนือ เลยกลบกลิ่นตรงนี้ไปได้ ตอนแรกยังรู้สึกจะกินได้รึเปล่า พอคำที่สองสามสี่ห้า ตอนนี้คือกินลาบดิบได้แล้ว (หัวเราะ) อร่อยค่ะ รู้สึกเนื้อดิบก็หวานดี ฟีลแบบที่เรากินเนื้อของอาหารญี่ปุ่นค่ะ
Q : “ส้มป่อย” มีความรีเลทกับ “น้ำตาล” ตรงไหน ที่ทำให้เราถ่ายทอดออกมาง่าย และมีตรงไหนที่คิดว่ายากจนต้องทำการบ้านตรงส่วนนี้เป็นพิเศษ?
น้ำตาล : ที่ง่ายคงเป็นที่เราเข้าใจในธรรมชาติของตัว ‘ส้มป่อย’ ว่าเด็ก ๆ ทางภาคเหนือจะโดนอะไรแบบนี้บ่อย เช่น การรวมญาติในวันสงกรานต์ จะเป็นวันที่เราไม่อยากรวมญาติเลย มันเป็นคำถามยอดฮิตของผู้ใหญ่ว่า เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ เรียนเป็นยังไง คนนี้จะแต่งงานหรือยัง คนนี้จะเรียนต่อหรือยัง แล้วเราเป็นเด็กที่หัวไม่ได้ดี ไม่ได้เรียนเก่งขนาดนั้น จะมีความรู้สึกว่าไม่อยากไปรวมญาติ มันเลยทำให้เราต่อกับตัวส้มป่อยติดนิดนึง ในแง่ของปมของตัวละคร แต่จะเป็นปมในเรื่องขำ ๆ เป็นสิ่งที่หลายคนน่าจะพบเจอ ตาลว่าไม่ใช่แค่ภาคเหนือหรอก ภาคอื่นก็น่าจะเจอกัน ในเรื่องของวันรวมญาติทีไร พวกหลาน ๆ จะไม่ค่อยอยากอยู่กับผู้ใหญ่เท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นคนเหนือ วัฒนธรรม กาละเล่น เล่นสงกรานต์ เราก็เติบโตมาในวิถีชีวิตแนวนี้อยู่แล้ว และสนุกสนาน ตาลเองก็เป็นเด็กบ้านนอก อยู่ จ.แพร่ เราก็ไม่ได้อยู่ในอำเภอเมือง เราค่อนข้างดึงมาเป็นตัวละครนั้นได้ง่าย และก็มีในเรื่องของความเชื่อ ซึ่งมันดันคล้ายกับที่บ้านตาล เพราะว่าตาลมีญาติที่เขาเป็นร่างทรงด้วย เลยทำให้เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก แล้วพอในเรื่องนี้อาชีพหลักของพระเอกก็จะเกี่ยวกับร่างทรงด้วย เลยทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ตัว ไม่ได้ยากมาก แต่ที่มันยากอาจเป็นเพราะว่าเราไมได้เป็นผู้หญิงกล้าแสดงออกขนาดส้มป่อย คือส้มป่อยเป็นฟีลแบบสก๊อยเลย ท้าตีท้าต่อย เมาเหล้า เขาจะโหด ฮาร์ดคอร์ไปนิดนึง เราก็ต้องไปศึกษา ไปดูท่าเต้นรถแห่ต่าง ๆ ว่าเขาเต้นยังไงเต้นท่าปะแป้ง ดึงดาว ตอนกเราก็เขิน ไม่กล้าทำ
Q : “ส้มป่อย” อยากมีความรัก จนยอมทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเอง ตัวเรามีมุมมองต่อเรื่องนี้ยังไง?
น้ำตาล : ในเรื่องความรักตาลว่าไม่แปลก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า ‘ช่วงโปรโมชั่น 3 เดือนแรก 5 เดือนแรก’ ตาลว่าช่วงโปรโมชั่นนั่นแหละ คือช่วงที่เราไม่ได้เป็นตัวของเราเองมากที่สุด บางทีเรามีความอยากเป็นคน ๆ นั้นของเขา เป็นผู้หญิงในอุดมคติ เพราะก่อนที่เราจะไปคบกับใคร เราคงมีการคุยกันมาสักระดับนึงแหละว่าความรักของคุณที่ผ่านมา ทำไมจบลงไป อะไรยังไง และเราก็จะพยายามไม่ทำแบบนั้น เพราะถ้าเราชอบใครคนใดคนนึงมาก ๆ เราก็อยากเป็นคนที่ดีพร้อมสำหรับเขา แต่สุดท้ายแล้วตาลมองว่าความรัก สิ่งที่เหมือนกันหรือทุกอย่างดีไปหมด มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง คนเราจะรักกัน หรือจะคบกันไปนาน ๆ ได้ สิ่งที่สำคัญเลยคือเรายอมรับข้อเสียของกันและกันได้รึเปล่า ข้อเสียมันคือตัวของเราจริง ๆ ดังนั้นการที่เราพยายามไปเป็นคนอื่น หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อใครโดยที่มันไม่ได้เป็นตัวของเราจริง ๆ สักวันนึงมันก็หมดโปรโมชั่น นั่นแหละที่จะเป็นชีวิตจริงมากกว่า สุดท้ายเราจะยอมรับตัวตนที่แท้จริงของกันและกันได้รึเปล่า แต่หนูก็มองว่าตัว ‘ส้มป่อย’ ก็เป็นผู้หญิงคนนึงที่ต้องการอยากจะมีชีวิตที่ดี อยากเอาตัวเองออกไปจากจุดนี้ มันเหมือนชีวิตไม่ได้ไปเจอโลกภายนอกมากมาย ก็จะอยู่กับแต่กลุ่มเพื่อนมาตลอด พอวันนึงมีผู้ชายจากกรุงเทพฯ เข้ามาในหมู่บ้าน และดันเห็นว่าญาติพอได้สามีเป็นคนกรุงเทพฯ ชีวิตมันดีจังเลย ก็อยากจะเป็นแบบนั้น ซึ่งการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงของส้มป่อย มันไปสุดทางจริง ๆ ไม่คิดว่าขนาดนี้ ก็อาจเป็นความเอ็นดูปนความขำ ในความพยายามเป็นอีกคนที่ค่อนข้างแตกต่างจากเป็นเนื้อแท้ตัวตนจริง ๆ ของส้มป่อย ก็ต้องไปติดตามดูค่ะ


Q : ในกองถ่ายมีอะไรสนุก ๆ หรือประทับใจเล่าให้ฟังบ้าง?
น้ำตาล : โอ้โห! เยอะค่ะ คือในภาพยนตร์เรื่องนี้เรายกกองไปถ่ายทำกันที่ภาคเหนือ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอยู่ที่ จ.ลำพูน ก็เหมือนมีปาร์ตี้อาหารเหนือทุกวัน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราอิ่ม เปรมปรีด์มาก เราเองไม่ได้กลับไปอยู่ภาคเหนือแบบนี้มานานแล้ว พ่อคนนั้นแม่คนนี้เอาหารมาให้ รู้สึกว่าดีจริง ๆ และก็ได้ไปฝึกการกินของดิบ กินเหล้าหมัก เหล้าขาว ได้ลองกินจริง ๆ แล้วมันไหลไปไส้ขดไหนก็คือรู้เลย (ยิ้ม) มันร้อนมาก มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่สุดยอดมาก รู้สึกสนุกมากและได้เข้าถึงแก่นแท้ของตัวละครที่มันเมาเหล้าขาวจริง ๆ ว่ามันเป็นยังไง ได้ไปฝึกเต้นจริง มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกมา ๆ และตอนนั้นเป็นช่วงโควิดที่เริ่มเปิดให้กลับมาทำงานได้ เราก็เลยไปไหนไม่ค่อยได้ เลยได้อยู่ด้วยกัน เหมาโรงแรมนึงอยู่ด้วยกันเกือบครึ่งเดือน มันเลยทำให้ทีมงานและนักแสดงสนิทกันมาก ๆ ค่ะ
Q : เห็นถ่ายทำให้ช่วงโควิดระบาดด้วย มีอุปสรรคอะไรในการถ่ายทำบ้างมั้ย?
น้ำตาล : อุปสรรคเลย คือในเรื่องมีซีนใหญ่ ๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ มันเลยเกิดเป็นข้อจำกัดว่าโอเค รวมตัวกลุ่มคนได้แค่นี้ ไม่ได้เยอะ มันอาจทำให้เราเลือกมุมถ่ายทำได้ยากมากยิ่งขึ้น ตาลเชื่อว่าถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ ชาวบ้านทุกคนคงมาร่วมใจกันแสดงโดยไม่คิดค่าตัวด้วยซ้ำ เพราะมันคือหนังเหนือเรื่องแรกเลยด้วยซ้ำมั้งที่ตาลรู้สึกว่ามันเข้าถึงความเป็นออริจินัลของภาคเหนือมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นสำเนียง ภาษา วัฒนธรรม ทุกอย่าง มันเลยอาจทำให้การถ่ายทำตรงนี้ยากขึ้นมานิดนึงและอาจต้องมีการปรับให้เข้าสถานการณ์ในช่วงนั้นมากยิ่งขึ้นค่ะ รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางผู้กำกับคิดว่าอยากให้ภาพออกมาประมาณนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ก็ทำให้เราไม่สามารถไปถ่ายทำที่นั่นได้ ก็ต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่โชคดีที่ตอนถ่ายทำเป็นโควิดล็อตแรก ๆ ที่ยังไม่มีอะไรรุนแรงมาก ช่วงนั้นก็มีการตรวจทั้งทีมงานและนักแสดงค่ะ

Q : หนังเรื่องนี้เข้าฉายหลังปลดล็อคจากโควิด 19 ที่เพิ่งเปิดโรงภาพยนตร์ ส่วนตัวมีความคาดหวังยังไง?
น้ำตาล : ก็แอบกดดันนิดนึงนะคะ เราก็แอบทำใจไว้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังเชื่อในพลังของทุกคนที่ชอบดูหนังว่าการดูหนังที่บ้านก็ไม่ได้อารมณ์เท่ามาดูที่โรงหนัง และคิดว่าหลายคนคงอยากจะออกมาดูหนังมากยิ่งขึ้น และตาลก็อยากให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ มันเป็นหนังที่ตาลยังไม่เคยเห็นว่ามีหนังที่เป็นภาคเหนือมาก ๆ ขนาดนี้มาก่อน พูดเหนือทั้งเรื่อง และทีมงานตั้งแต่คนเขียนบท ผู้กำกับ นักแสดงก็เป็นคนเหนือ ยกกองไปถ่ายทำที่ภาคเหนือ แต่ตาลคิดว่ามันเป็นหนังเหนือที่ย่อยง่าย เพราะทุกภาคก็คงมีอยู่แล้วกับเรื่องร่างทรง ความรักหรือสงกรานต์ เชื่อว่าคนสามารถเข้าถึงได้ อยากให้คนเปิดใจ และอยากให้ทุกคนปลอดภัยด้วย ก็ขอให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ววันค่ะ

Q : คิดว่านอกจากเสียงหัวเราะแล้ว หนังเรื่องนี้จะให้แฟน ๆ ได้เห็นอะไรอีกบ้าง?
น้ำตาล : สิ่งหนึ่งที่ตาลรู้สึกว่าถ้าทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้ นอกจากความตลกขบขัน ความสนุกสนานแล้ว ทุกคนที่ดูแล้วก็น่าจะคิดถึงบ้าน เพราะว่าในความเป็นจริงมันก็มีอยู่นะที่คนเราอยากถีบตัวเองออกจากไปที่ ๆ เราเคยอยู่ ออกไปจากบ้านเรา แต่สุดท้ายแล้วสิ่งนึงที่เรารับรู้ได้อยู่แล้วคือการที่ ไม่มีใครรักเราเท่ากับครอบครัวของเราอีกแล้ว และไม่มีที่ไหนสุขใจเท่ากับอยู่ที่บ้านเรา ไม่ว่าเราจะไปอยู่ทีไหน มันเกิดปัญหาอะไร เราก็มีความรู้สึกอยากกลับบ้าน และตาลก็เชื่อว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว จูงมือเล็กเด็กแดง สามารถไปดูได้เลย เพราะไม่ได้มีแค่ความรักของหนุ่มสาวอย่างเดียว แต่มีความรักของครอบครัว ของเพื่อน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ถ้าคุณเคยอยู่ภาคเหนือมาก่อน เคยไปเที่ยวหรือทำอะไรก็แล้วแต่ คุณจะรู้สึกคิดถึงมันแน่นอน หนังเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความทรงจำดีมากมาย ไม่ใช่แค่หนังตลก ออกมาหัวเราะอย่างเดียว แต่ทุกคนจะออกมาด้วยรอยยิ้ม อาจอยากโทรฯ กลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านก็ได้ค่ะ
อยากทะลุกรอบการแสดง
Q : อัพเดทผลงานต่อจากนี้ มีอะไรอีกบ้าง?
น้ำตาล : ตอนนี้ก็มีถ่ายทำละคร ใกล้จะกลับมาถ่ายทำแล้วมี ‘สายลับลิปกลอส’ เรื่องนี้ก็เล่นกับพี่บอย-ปกรณ์ และเพื่อนสนิทตาลด้วย ก็คือปราง-กัญญ์ณรัณ , พี่ปั้นจั่น-ปรมะ, ก็อต-อิทธิพัทธ์ และน้องมายด์-ลภัสลัลด้วย เรื่องนี้มี 3 คู่ ก็อยากฝากติดตาม และก็มีละครที่กำลังวางตัว ขอปิดเป็นความลับไว้ก่อน เร็ว ๆ นี้รอติดตามกันค่ะ ซึ่งตาลว่างานของทุกคนคงอัดอั้น เหมือนเรารอคอยเวลาที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ แต่มันคงไม่ได้ปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ สุดท้ายแล้วทุกคนคงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ค่ะ
Q : มาในปีนี้ที่ทั่วโลกเจอปัญหามากมาย มันทำให้น้ำตาลได้เรียนรู้หรือเติบโตด้านไหนเป็นพิเศษมั้ย?
น้ำตาล : สิ่งที่ตาลเรียนรู้เลยก็คือเราไม่ควรใช้ชีวิตประมาทค่ะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางทีเราใช้ชีวิตแบบว่าทุกวันนี้มันก็แฮปปี้ดี เราหาเงินได้ เราอยากกลับไปหาพ่อแม่เราเมื่อไหร่ก็ได้ เราอยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ สุดท้ายเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันนึงมันจะมีโรคที่ทำให้ทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหวได้ขนาดนี้ บางคนเป็นนักบิน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับอะไร ก็ยังหยุดการทำงานเลย ดังนั้นเราไม่ควรใช้ชีวิตประมาท คนที่เรารัก เราคิดว่าวันนึงจะกลับไปหาเขา ให้ความสำคัยเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่จริงแล้วถ้าใครได้เจอโรคนี้ ตาลรู้สึกว่ามันเป็นโรคที่มันทำให้ทุกคนโดดเดี่ยว คนที่เป็นต้องรักษาตัวเอง อยู่คนเดียว พอวันนึงเราต้องจากกันไป แม้แต่มือ เรายังไม่สามารถสัมผัสกันได้ด้วยซ้ำไป มันเลยทำให้ตาลรู้สึกว่าทุกวินาทีมันสำคัญและมีค่ามาก ๆ ดังนั้นเราควรทำทุกวันให้มันดีที่สุดจริง ๆ ค่ะ และไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไป
Q : “น้ำตาล” อยู่ในวงการบันเทิงมานาน จนเหมือนเป็นรุ่นพี่คนนึงในวงการไปแล้ว ณ วันนี้ความท้าทายในการทำงานในวงการ สำหรับเราคืออะไร?
น้ำตาล : สำหรับตาลมองว่าพอเราอยู่มาสักพักใหญ่ ๆ สิ่งที่เราต้องการจะทำมากที่สุดคืออยากทะลุกรอบที่เราถูกสร้างขึ้นมา หมายถึงว่าตัวเราเองไม่ได้เป็นคนสร้าง แต่ถูกหลายคนสร้างให้ แต่ตาลแค่มีความรู้สึกว่าเราอยากทะลุกรอบการเป็นนักแสดงที่ไม่ได้เป็นแค่นางเอก หลัง ๆ มาอาจเห็นว่าตาลเริ่มมีการรับเป็นผี ไปรับบทที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น อย่างเรื่อง ‘ส้มป่อย’ คาแรกเตอร์มันดูเป็นนางเอกก็ได้ หรือจะดูเป็นเด็กกะโปโลคนนึง อะไรก็ไม่รู้ก็ได้ ตาลรู้สึกว่าถ้าเราคิดอยากมีอาชีพเป็นนักแสดง เราควรที่จะสามารถเล่นได้ และทำให้คนดูเชื่อได้ในทุกบทบาทที่เราได้รับมา อย่างตอนที่ตาลไปรับเป็นผี ก็มีแฟน ๆ บางคนบอกว่า ตาลโดนลดบทบาทแล้วเหรอ ทำไมให้ตาลไปเล่นบทนี้ ตาลต้องเป็นแค่นางเอกสิ ทำไมต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตาลมีความรู้สึกว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าความสามารถของเรา มันสามารถพัฒนาไปได้จนถึงแบบไหน เพราะการเป็นนางเอก มันก็วนได้คือเป็นนางเอกดราม่า คอมเมดี้ ต่อสู้ แต่เราจะไม่สามารถทะลุกรอบไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ตาลรู้สึกว่าถ้าเรารับบทผี หนึ่งคือเราไม่เคยตายมาก่อน (ยิ้ม) เรารู้สึกว่าผีมันจะเป็นยังไงนะ มันจะต้องมีการได้พัฒนาตัวเอง ตาลเลยรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นอะไรที่ท้าทาย พอเราโตขึ้นมาก็อยากทะลุกรอบตัวเองออกมาเรื่อย ๆ มากยิ่งขึ้น เราคาดหวังว่าอนาคตวงการบันเทิงไทย คงมีอะไรที่เป็นฟีลเหมือนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ที่แบบถ้าคุณมีความสามารถ เหมาะกับคาแรกเตอร์นี้ คุณไปเล่นเลย ลองไปแคสดู ไม่ต้องแบบว่าคุณเป็นนางเอก ก็เซ็ตเป็นนางเอกตลอดไป ตาลรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้พอมันมีหนังหรือผลงานอะไรเข้ามาเยอะ ๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าทุกตัวละคร ทุกบทมันมีความสำคัญมาก หนูก็อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอเราโตขึ้นก็อยากพัฒนาตัวเองในทุกด้านค่ะ

“…ตาลอยากทะลุกรอบการเป็นนักแสดงที่ไม่ได้เป็นแค่นางเอก ถ้าเราคิดอยากมีอาชีพเป็นนักแสดง เราควรที่จะสามารถเล่นได้ และทำให้คนดูเชื่อได้ในทุกบทบาทที่เราได้รับมา พอเราโตขึ้นมาก็อยากทะลุกรอบตัวเองออกมาเรื่อย ๆ มากยิ่งขึ้น…”
Q : มีมุมมองในการแข่งขันในวงการยังไง?
น้ำตาล : หนูว่าสนุกดีนะ แต่อาจเป็นเรื่องยากของเรา ตาลเพิ่งนั่งคุยกับเพื่อน ๆ ไม่ใช่เฉพาะแต่ในวงการบันเทิง ทั้งพี่ ๆ ช่างแต่งหน้า ทำผม ว่าสมัยนี้เราต้องปรับตัวเข้ากับโซเชียลให้ได้ เราต้องทำให้ได้ เต้นไม่เป็นก็ต้องเต้นให้ได้ ทำอาหารไม่เป็น คุณก็ต้องทำ เพราเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน ที่คนจะติดตามเราผ่านทางละคร หนัง นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ไม่ใช่แล้ว แต่คนติดตามอินสตาแกรมคุณเพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่ได้อยากเห็นว่าคุณมีผลงานอะไรอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาอยากเห็นชีวิตของคุณจริง ๆ ว่าคุณมีไลฟ์สไตล์ยังไง ใช้ชีวิตยังไง อยากทำแบบนี้บ้างจัง ดังนั้นเราต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคมากยิ่งขึ้น ถ้าถามแง่ของตาลเอง บางอย่างตาลก็ไม่ทันเด็กยุคใหม่หรอก หนูเป็นคนไฮเทคโน แต่โลว์เทคนิคมาก (ยิ้ม) คือมีหมดนะ ที่เขาบอก เช่น กล้องนี้มันสวยนะ แต่เราถ่ายยังไงก็ไม่สวยเหมือนเขา ฟีลแบบคนที่แต่งรูปในอินสตาแกรมที่เป็นโทนสวย ๆ เขาทำได้ยังไง บางทีเราก็ไม่ค่อยทันกับอะไรแบบนี้ แต่ว่าก็พยายามปรับตัวให้เข้ายุคสมัยมากยิ่งขึ้น หวังว่าเด็ก ๆ คงจะยังชอบพี่อยู่นะ (หัวเราะ)
Q : คิดว่าสิ่งที่ทำให้ “นักแสดง” อยู่ในวงการได้นาน คืออะไร?
น้ำตาล : สิ่งนึงที่ตาลเชื่อว่าหลายคนไม่มีทางเอาไปจากเราได้ ก็คือฝีมือ เหมือนเวลาที่เราได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ เราจะรู้สึกได้เลยว่า เราต้องทำการบ้านหนักเป็นสิบเท่า เพื่อที่จะไปเข้าฉากกับเขา นักแสดงรุ่นใหญ่บางคนคือไม่ต้องมีไดอาล็อค ไม่ต้องพูดเยอะ ไม่ต้องแอคติ้งเยอะเลย แต่เรารู้สึกได้ถึงพลังที่เขาส่งมาให้เรา เรารู้ได้เลยว่านี่คือนักแสดงจริง ๆ ที่สั่งสมประสบการณ์ เหมือนเราเล่นละครหลายเรื่อง ละครเรื่องที่สิบของเรา ก็ไม่มีทางที่จะเหมือนละครเรื่องแรก ที่เอาตัวรอดไปก่อน หมาตาย คิดนั่นคิดนี่ ยังไงก็ได้ ให้มันร้องไห้ ให้ผ่านซีนนี้ไปให้ได้ แต่พอมันแบบนาน ๆ เข้าเราจะรู้วิธีการเข้าถึงตังละครมากยิ่งขึ้นว่า โอเคเราต้องทำแบบนี้ เราถึงจะอิน มันเหมือนเป็นมวยที่มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เราขึ้นเวทีแล้วฟุตเวิร์คอย่างเดียว มันเริ่มช่ำชองมากยิ่งขึ้นแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตาลเชื่อว่านักแสดงรุ่นใหญ่หลายคนที่เขายังสามารถอยู่ในวงการนี้ได้ เขามีฝีมือที่เก่งกล้ามาก ๆ และไม่มีใครสามารถเอาไปจากเขาได้ และมีวินัยในการทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก รวมถึงตอนตาลเข้ามาในวงการ ก็จะโดนอบรมสั่งสอนในเรื่องของกิริยามารยาท การตรงต่อเวลา ตาลรู้สึกว่านั่นคือเสน่ห์ของนักแสดงรุ่นใหญ่ ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ แต่สมัยนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ เพียงแต่ว่า เจ็นอาจแตกต่างกันไปนิดนึง เมื่อก่อนไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือให้แต่ละคนอยู่ในมุมของตัวเอง สมัยนี้เวลาไปกองถ่าย แต่ละคนก็ไถไอแพด เล่นนั่นนี่ ลงอินสตาแกรมอะไร คิดแคปชั่นทั้งวัน แต่สมัยก่อนไปถ่ายละครคือไปถ่ายละครจริง ๆ เราก็ได้เรียนรู้เทคนิค วิธีการแสดงจากนักแสดงรุ่นใหญ่จริง ๆ ตาลคิดว่าเป็นในเรื่องฝีมือและประสบการณ์ที่จะทำให้แต่ละคนอยู่ในวงการบันเทิงได้นานค่ะ
Q : รางวัลของ “นักแสดง” คืออะไร?
น้ำตาล : เมื่อก่อนตาลแค่มีความรู้สึกว่าถ้าฉันได้รางวัล สักวันมันคงจะเป็นรางวัลที่แท้จริงของเรา อยากได้รางวัล อยากขึ้นบนเวที อยากกล่าวอะไรอย่างที่ไอดอลของเราหลายท่านเป็น แต่พอมาถึงจุดนึง กว่าเราจะแต่ละรางวัลมันยากมาก ๆ เลย ตาลเคยได้ครั้งนึงที่ประเทศจีน (รางวัลเทศกาลภาพยนตร์สั้นประเทศจีน สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง Postcard) แต่ว่าอันนั้นเราก็ยังมีความรู้สึกว่ามันโดดเดี่ยวจังเลย ไม่ได้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของหลายคน แต่ทุกวันนี้รางวัลไม่ได้สำคัญสำหรับตาลอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่มันสำคัญมากที่สุดก็คือเวลาเราเล่นละครแล้วฟีดแบ็กที่กลับมาถึงตัวเรามันเป็นยังไง ตาลเป็นคนนึงที่อ่านทุกคอมเม้นต์ อ่านทุกกระทู้ เข้าไปปั่นทวิตเตอร์ด้วย ยุคโซเชียลมันก็ดีเหมือนกัน แต่ละคนแม้ว่าจะอยู่คนละบ้าน แต่ก็เหมือนมาดูละครด้วยกัน เหมือนได้ดูละครพร้อมกับแฟนคลับไปด้วย และซีนนี้เราเล่นดีหรือไม่ดี เราจะรู้ตอนนั้นเลย เขาจะบอกเราเลย ตาลเลยมีความรู้สึกว่าถ้าเราเล่นละครแล้วฟีดแบ็กกลับมาถึงตัวเราดี คนชื่นชมว่าเรามีความพัฒนาและเชื่อว่าเราเป็นละครตัวนั้นจริงๆ นั่นก็คือเป็นรางวัลสำหรับตาลแล้ว และมันเป็นกำลังใจทำให้ตาลอยากพัฒนาตัวเอง อยากทะลุกรอบที่เรามีให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไปค่ะ
รักหวานกับ “ไผ่ – พาทิศ” ปรับจูนจนลงตัว อยู่ด้วยความเข้าใจ
Q : อัพเดทความรัก “ไผ่” กันบ้าง คบมา 9 ปีแล้ว ยังมีอะไรต้องปรับตัวอีกมั้ย?
น้ำตาล : คือ 2 ปีที่ผ่านมามันเหมือนเป็นปีที่เราเอาเวลาไปโฟกัสกับเรื่องอื่นเยอะมาก มันเป็นปีที่ทุกคนพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด (หัวเราะ) เรื่องความรักมันเลยไม่มีปัญหากันเลย สำหรับ 2 ปีหลังนี้เพราะแต่ละคนก็มีความคิดว่าเราจะทำยังไงให้รอดจากวิกฤตินี้ ละครเราไม่ได้ถ่าย เราจะทำธุรกิจอะไรต่อ จะทำนั่นนี่อะไรดี มันเลยได้เห็นถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากขึ้นค่ะ และได้มาทำงานร่วมกันด้วย ตอนนี้มันเริ่มเป็นชีวิตจริงจังแล้ว ไม่เหมือน 2-3 ปีแรก ที่มันมีช่วงโปรโมชั่น ช่วงรักกันหวานชื่น ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว กลายเป็นฟีลเพื่อนกัน เอาง่าย ๆ คือมันอาจไม่ได้เป็นมุมแบบหวาน ๆ แต่เวลาที่เราเหนื่อยหรือมีปัญหา นอกจากครอบครัวแล้ว เราก็จะเห็นเขาเป็นคนแรก ตาลเลยรู้สึกว่าแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วค่ะ

“….สิ่งที่ตาลรับรู้ได้คือเขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เคยเป็นคนยังไง ก็เป็นคนอย่างนั้น แน่นอนในเรื่องความหวานมันอาจไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น ที่ทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไปจากตอนแรก เราแค่มีความรู้สึกว่าเราอยากมีช่วงเวลากับใครสักคน ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจได้ ไม่ต้องพูอะไรเยอะมาก แล้วเขายังเป็นอย่างนี้ตลอด…”
Q : ด้วยความที่เป็นคนดังทั้งคู่ มีเคล็ดลับการดูแลความรักของคู่เรายังไง?
น้ำตาล : ตาลโชคดีตรงที่ตอนแรก ๆ เราตกลงกันค่อนข้างที่จะชัดเจนมาก ตาลเข้ามาในวงการบันเทิงก็เจอกระแสข่าวค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นเด็กเส้น เป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ มาเล่นละครคู่กับพี่เคน-ธีรเดช โดนยัดมาลงบ้าน เลยคุยกันตั้งแต่แรกว่าเราไม่อยากให้คนมารู้จักเราผ่านทางความรัก เราอยากพิสูจน์ตรงนี้ก่อน พอเราพิสูจน์ตัว เรียนจบแล้ว เลยมาเปิดตัวกัน แต่เราก็ไม่เคยปิดนะคะ ตาลรู้สึกว่าชีวิตเราค่อนข้างเติบโตเป็นสเต็ปเรื่อย ๆ แล้วคนก็ค่อย ๆ รับรู้ไปเรื่อย ๆ ว่าเรามีแบบนี้ และดีใจที่ ณ วันนี้แฟน ๆ เขายังรักและสนับสนุนเรา เคารพในสิ่งที่เราตัดสินใจ ในสิ่งที่เราเป็น เรารักใคร เขาก็รักด้วย ทุกวันนี้แฟนคลับตาลก็กลายไปเป็นแฟนคลับเขา ถ่ายรูปคู่กันกับเขา รูปโปรไฟล์เป็นรูปคู่กับพี่ไผ่ด้วยซ้ำ เลยรู้สึกว่ามันน่ารักดี พอเราเห็นอะไรที่ออกมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกดี ไม่ได้รู้สึกว่าความรักกับวงการบันเทิงเป็นเรื่องยาก อาจเป็นเพราะในยุคของตาล หลายอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่เหมือนเมื่อก่อน คนเริ่มเปิดใจ เริ่มรู้สึกว่าดาราก็คือมนุษย์คนนึง ที่มีรักโลภโกรธหลง เขาสามารถมีความรักได้ ก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลยที่ได้อยู่ในยุคนี้ค่ะ
Q : ตั้งแต่คบกันมาตลอด 9 ปี ประทับใจอะไรในตัว “ไผ่” มากที่สุด?
น้ำตาล : สิ่งที่ตาลรับรู้ได้คือเขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เคยเป็นคนยังไง ก็เป็นคนอย่างนั้น แน่นอนในเรื่องความหวานมันอาจไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น ที่ทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไปจากตอนแรก และเราก็ไม่ได้อะไรตรงนั้น เพราะหนึ่งคือเราเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มแข็งและแมน ๆ เราเลยไม่ค่อยมีมุมมุ้งมิ้งขนาดนั้นเท่าไหร่ เป็นผู้หญิงที่ไม่ใช่แนวต้องมีดอกไม้ให้ ต้องเซอร์ไพร้ส์ทุกปี เราแค่มีความรู้สึกว่าเราอยากมีช่วงเวลากับใครสักคน ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจได้ ไม่ต้องพูอะไรเยอะมาก แล้วเขายังเป็นอย่างนี้ตลอด มันอาจมีปีที่เราเป๋กันไปบ้าง ในช่วงที่คบกัน 7 ปี ไม่รู้ทำไม อาถรรพ์รึเปล่า คือหนูมองว่าทำไม 7 ปีถึงเป็นเลขอาถรรพ์ สำหรับคนอื่นหนูไม่รู้นะ แต่สำหรับหนูรู้สึกว่ามันเป็นปีที่มันจะเร็วก็ไม่เร็ว มันจะนานก็ไม่นาน เป็นปีที่อีก 3 ปีมันจะ 10 ปีแล้ว เราควรไปต่อหรือพอแค่นี้ และมันดันเป็นปีที่เขามีความติสต์ค่อนข้างเยอะมาก คือหนูเข้าใจเลยว่าคนติสต์เป็นอย่างนี้จริง ๆ เขาไม่รับงานในวงการบันเทิงเลยช่วงนึง แบบพอแล้ว อิ่มตัวแล้ว ไม่อยากเจอผู้คน ไม่อยากทำนั่นทำนี่แล้ว เขาเคยคุยกับตาลว่าเหมือนเขาไม่ได้เป็นไผ่ ที่เป็นไผ่จริง ๆ ตาลเข้าใจนะ อารมณ์เหมือนเราถ่ายละคร 7 วัน ตาลแทบไม่ได้เป็นน้ำตาลเลย ตื่นเช้าไปกองละคร แต่งหน้าเสร็จ วันนี้เราต้องเป็นคนนี้ทั้งวัน อีก 4 วันเราต้องเป็นคนนี้อีกทั้งวัน เขาคงเบื่อในแนวนี้ อยากไปใช้ชีวิตของเขาจริง ๆ แต่ว่าคือเขาเคยหายไปนานสุด 15 วัน ติดต่อไม่ได้ หายไปนานมาก หนูแค่รู้สึกว่ามันยากต่อการควบคุมความรู้สึกเรา เราไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหน มันไม่ได้มีผู้หญิงอื่นแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราเป็นห่วง จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ เกิดอะไรขึ้น เราต้องมานั่งตอบคำถามทุกคนแทนเขา พอคนติดต่อเขาไม่ได้ ก็มาติดต่อเรา เราก็จะมีความรู้สึกเครียดว่าทำไมต้องมานั่งตอบคำถามแทน ทำไมเราต้องมานั่งห่วงไม่รู้จบแบบนี้ เลยคุยกับเขาว่าถ้าจะเป็นแบบนี้ เราคงไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้ว เขาก็เลือกที่ปรับให้ ปรับ ณ ที่นี้ไม่ใช่ไม่เข้าป่านะ แต่ว่าไปในทีที่มีสัญญาณมากยิ่งขึ้น (หัวเราะ)


Q : แล้วเขาปรับด้วยการพาเราเข้าป่าด้วย?
น้ำตาล : เขาเคยพาหนูเข้าป่าครั้งนึง แบบไปกลับนะคะ นั่งเรือลำนึงเข้าไปในป่าเลย ต้องออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตี 3-4 ไปถึงต้นน้ำ นั่งเรือไปตอนประมาณจะตี 5 แล้วไม่มีเสื้อชูชีพใด ๆ นั่งอยู่บนเรือ แล้วฝนก็ตก คนที่บังคับเรือก็บอกให้นอนหงายราบไปกับเรือนะ หนูก็มองดาวแล้วรู้สึกว่า ‘มาทำอะไรที่นี่ว่ะ’ (หัวเราะ) ก็รู้สึกโอเค ถ้าเขามีความสุขแบบนี้ก็ไปเถอะ เราก็รู้ว่ามันเป็นความชอบของเขา แต่ละคนมันก็ชอบไม่เหมือนกัน ก็ยังดีกว่าคนที่ชอบไปเที่ยวกลางคืนหรือไปทำนั่นนี่ ถ้า ณ วันนี้ ความรู้สึกของเรายังไม่เปลี่ยนแปลง ตาลก็ยังรู้สึกว่าเขายังเป็นคนที่ใช่อยู่ค่ะ
Q : กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องปรับตัวกันทั้งคู่ รวมทั้งเรื่องมายด์เซ็ทที่ต้องปรับเข้าหากัน?
น้ำตาล : ปรับเยอะค่ะ ตาลมีความรู้สึกแค่แบบมันพอดีไปหมด อย่างตอนตาลเรียน เขาก็เรียนจบแล้ว ทำงานเต็มตัวและเขาก็เริ่มต้นทำธุรกิจ ตอนเราเรียนก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นไอดอลของเราได้ เป็นไอดอลของเพื่อนเราด้วย คือเขาชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การวางแผนต่าง ๆ เยอะ เขาก็จะเป็นที่ปรึกษาให้เราและเพื่อนของเราได้ด้วย พอเราเรียนจบ พร้อมทำธุรกิจ ด้านธุรกิจของเขาอยู่ตัว และเขาเข้าป่าแล้ว (ยิ้ม) แต่มันเป็นช่วงก่อร่างสร้างตัวของเราเอง มันอาจมีปัญหานิดนึง แต่เรามีความรู้สึกว่าตอนนั้นธุรกิจหลายอย่าง เขาก็เจอปัญหามาหมดแล้ว อันไหนที่ประสบความสำเร็จเขาก็มาแนะนำเราได้ มันเหมือนเราค่อย ๆ โตกันไปทีละขั้น โอเคมันไม่ได้มีเรื่องเข้ามาทำให้มีปัญหา ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิง ไม่มีเรื่องจุกจิก แทบไม่ได้ทะเลาะปัญหาจุกจิกกันเลย เราเลยรู้สึกว่ามันไปด้วยกันได้เรื่อย ๆ ทีละเสต็ป
Q : เป็นอีกคู่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าไลฟ์สไตล์ต่างกัน แต่มันก็อยู่ด้วยกันได้?
น้ำตาล : ใช่ค่ะ เพราะหนูก็เข้าใจเขา หนูมีความสุขในอะไรแบบนี้นะ หนูเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีพื้นที่เป็นของตัวเอง เป็นพื้นที่ที่เขาสบายใจที่อยากอยู่แล้วเรารับได้ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาแบบนั้น เราโอเคเพราะว่ามันต้องแยกย้ายไปทำอะไรอย่างอื่น ถ้ามานั่งคิดถึง เป็นห่วงกันทั้งวันทั้งคืนมันไม่ใช่ ตาลมองว่าอันนั้นเป็นความรักแบบเด็ก ๆ สมัยก่อนที่แบบเธอห้ามวางโทรศัพท์นะ เด็กมัธยมอ่ะ (ยิ้ม) ต้องวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ มันไม่ได้เป็นฟีลนั้น แต่เป็นแบบวันนึงเราโทรฯ กันแค่สองสามรอบ ก็มีก่อนออกจากบ้าน กลับบ้าน เข้านอน แค่นั้นก็จบแล้วและรู้สึกว่ามันไม่วุ่นวายดี มันไม่ต้องมานั่งน้อยใจค่ะ

Q : มีแพลนคุยเรื่องอนาคตแต่งงานกันหรือยัง?
น้ำตาล : ก็ต้องมีค่ะ เรื่องอาจต้องพูดตรง ๆ เพราะว่าปีนี้ตาลอายุ 30 แล้ว แต่ว่ามี ณ ที่นี่หมายถึงเราก็แพลนกันคร่าว ๆ ว่ามันจะเป็นประมาณไหน เพราะพี่เขาอายุจะ 40 แล้ว ตอนนี้งานของพี่ไผ่ เวลาที่เราไปด้วยมันจะไม่ได้เป็นงานแต่งงานของเพื่อนเขาแล้ว แต่เป็นฟีลงานวันเกิดลูกเพื่อนเขาแทน (ยิ้ม) แบบวันนี้วันเกิดหลานนะ เขาก็แอบมีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน แต่เขาก็เข้าใจในตัวตาลและเข้าใจในหลายอย่าง เอาง่าย ๆ ชีวิตของพวกเราหายไปเลย 2 ปี ด้วยสถานการณ์โควิดเอย อะไรเอย ชีวิตในวัยเลข 2 นำของหนูก็หายไปแล้ว (หัวเราะ) อยู่ดี ๆ หนูก็วาร์ปมาเลย 3 เลย มันยังมีอะไรหลายอย่างที่หนูรู้สึกว่ามันยังทำไม่สำเร็จ หนูยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ซึ่งเขาก็เข้าใจและรู้ว่าเราให้ครอบครัวเรามาเป็นอันดับหนึ่งก่อนอยู่แล้ว หนูอยากจะให้ครอบครัวเราสุขสบายก่อน แล้วพอเรามามีครอบครัวของเราเอง เราจะได้โฟกัสครอบครัวของเต็มที่ แต่ไม่ใช่เราจะทิ้งครอบครัวหลักของเราไป เราอยากให้น้องชายมีอาชีพการงานที่มั่นคงก่อน หรือชีวิตหลังเกษียรของคุณพ่อคุณแม่ มีบ้านสวยเล็ก ๆ ซึ่งตอนนี้กำลังจะทำบ้านสวนให้เขา เขาอยากมีชีวิตในฝันของเขา เราก็อยากทำตรงนั้นให้ดีก่อน ก็คงอีก 3-4 ปี ตอนนี้ก็มีไปฝากไข่ไว้ทิ้งไว้ก่อน ช่วงโควิดที่ผ่านมาคือเวิ่นเว้อกับชีวิตนิดนึง มันเป็นช่วงที่เราว่างและเรามีความรู้สึกว่าลูกคนแรกของเราน่าจะใกล้ ๆ อายุ 35 สมมุตินะคะ ลูกคนที่ 2 ของเราก็ต้องหลัง 35 ไปอีก ซึ่งมีเพื่อนที่รู้จัก เขาเด็กกว่าตาล อายุ 27 – 28 เขาไปฝากไข่ จุดเริ่มต้นมาจากกการที่เขามีประจำเดือนมาไม่ปกติ สุดท้ายเขาไปตรวจ มดลูกของเขาเหมือนคนอายุ 37 ทั้งที่เขาอายุ 27 และไข่ของเขามีน้อยมาก ด้วยความที่ผู้หญิงยุคสมัยนี้เรามองเรื่องตรวจภายในมันเป็นเรื่องจักจี๋ ไม่อยากไปตรวจภายใน แต่เราไม่เคยรู้ว่าบางทีเรามีปัญหาเกี่ยวกับเรามีไข่น้อยหรือไข่มากมั้ย แล้วสมัยนี้เรามีลูกกันช้าด้วย เลยคิดว่าหรือเราต้องไปฝากไข่ พอเพื่อนมาพูดก็เริ่มมีคิด ก็ไปฝากไข่ แต่ว่าของเราปกติดีทุกอย่าง แต่แค่เราอาจได้แต่งงานช้า อาจมีลูกช้า อย่างน้อยสมมุติเรามีลูกตอนอายุ 40 ลูกเราก็ยังมาจากไข่ตอนอายุ 29 เลยรู้สึกว่าโอเคค่ะ
Q : เรียกว่าขอเซฟไว้ก่อน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกเรา?
น้ำตาล : เซฟไว้ก่อนค่ะ (ยิ้ม) และเขาก็บอกกว่าคนโสดไปฝากไข่ไว้เยอะมากเลย หนูก็เพิ่งรู้ เขาก็บอกว่าฝากไว้ก่อน หาพ่อได้เมื่อไหร่ก็ว่ากัน หนูไปเจอหลายคน คือเราไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย มองว่าเรื่องของการฝากไข่เป็นเรื่องของคนมีครอบครัว อยากมีบุตร แต่จริง ๆ พอตาลไปถึงมีคนบอกว่าอายุ 27 – 28 เป็นช่วงที่กำลังดีที่เราจะฝากไข่ มากันเยอะค่ะ เขาก็บอกว่าฝากไว้ก่อน พ่อค่อยว่ากัน หนูเลยคิดว่าโอเค อันนี้เป็นความคิดที่ดี (หัวเราะ)
Q : ทั้งตัว “น้ำตาล” และ “ไผ่” ก็ไม่ได้กดดันตัวเองใช่มั้ยว่าอีกกี่ปีถึงจะแต่งงานดี?
น้ำตาล : ไม่กดดันค่ะ โชคดีที่เป็นคนชิลทั้งคู่ อาจด้วยเราคบกันมาค่อนข้างนานแล้ว และตอนนี้ต่างคนก็ต้องรู้แล้ว อย่างตาลก็รู้แล้วว่าเขาคิดยังไง และเขาคงรู้แหละว่าเราอยากทำชีวิตตอนนี้ให้มันดีก่อน และเรายังให้พื้นที่ส่วนตัวของเขา ที่เขาอยากทำอะไร เขาชอบอะไร ตอนนี้พี่ไผ่กำลังโฟกัสทำตู้ควาเรียมในบ้าน แต่ละคนก็มีความชอบในการทำอะไร มันก็เลยไม่ได้มานั่งจ้องว่าต้องแต่งงานนะ ตาลว่ามันเลยจุดที่เป็นความฝันของเราไปแล้ว ตาลเคยมีความฝันอยากมีลูกก่อนอายุ 28 – 29 ตอนเป็นเด็กก็อยากแต่งงาน แต่พอเจอโควิดมันทำให้หนูเปลี่ยนมายด์เซ็ตค่อนข้างเยอะมาก จากที่อยากมีลูกเร็ว ๆ หนูก็ไม่แน่ใจว่ายังอยากมีลูกรึเปล่า ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ พอเขาเกิดมาเขาต้องเรียนอยู่บ้าน เจอโรคระบาด เรารู้สึกว่าทำไมช่วงนี้โลกโหดร้ายจังเลย กับตัวเราเองยังมีความรู้สึกเลยว่ามันก็โหดร้าย และมีน้องชายที่เพิ่งเรียนจบ ต้องไปหางานทำในยุคนี้ มันเลยรู้สึกว่าหรือก็อยู่กันสองคนแบบนี้ไปตลอด เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกันไป (หัวเราะ) มันเปลี่ยนได้ตลอด หนูก็เลยรู้สึกว่าดีไม่ได้กดดันตัวเองค่ะ
Q : ท้ายสุดฝากผลงานและฝากความห่วงใยถึงแฟน ๆ?
น้ำตาล : ขอฝาก ‘ส้มป่อย’ ด้วยนะคะ อยากให้ทุกคนมาดูกันเยอะ ๆ แต่ว่าขอให้มาดูกันอย่างปลอดภัย อย่าลืมเซฟตัวเองกันด้วย ก็เชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุข มีเสียงหัวเราะ มีรอยยิ้มกลับบ้านกันแน่นอน และตอนนี้ก็กำลังถ่ายทำละคร ‘สายลับลิปกลอส’ ก็คอมเมดี้เต็มตัวเลย รวมถึงบู๊ด้วย ก็ครบรส มีโรแมนติกด้วย ขอฝากด้วย และเดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ก็จะมีข่าวดีละครเรื่องใหม่ค่ะ แต่ขออุบไว้ก่อนและสุดท้ายนี้ด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ รวมถึงน้ำท่วม ตอนนี้ทุกคนก็น่าจะลำบากกันไปหมด มีความท้อ มีความเหนื่อยใจ ตาลก็อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนเลย เชื่อว่าฟ้าหลังฝนต้องสวยงามเสมอ จับมือกันขอให้ทุกคนผ่านวิกฤตินี้ไปได้ด้วยกัน สู้ ๆ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญห้ามใช้ชีวิตโดยประมาทเด็ดขาดค่ะ
เห็นความตั้งใจและความคิดในการรับบทบาทของ “น้ำตาล” แบบนี้ เชื่อว่าเธอจะสร้างผลงานดี ๆ ที่ทำให้แฟน ๆ ได้เห็นฝีมือการแสดงที่หลากหลายอีกมากมาย รวมทั้งเรื่องความรักกับหนุ่ม “ไผ่” ก็ขอเป็นอีกหนึ่งกองเชียร์ให้น้ำตาลทำความฝันของตัวเองสำเร็จทุกเรื่อง จะได้มีข่าวดีเร็ว ๆ!
เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน