สำหรับหลายๆท่านที่กำลังทำงานหลายๆคนคงอยากที่จะมีบ้านหรือคอนโดสักหลัง โดยเฉพาะท่านที่จบใหม่ๆเงินเดือนเริ่มต้นก็น่าจะอยู่ที่ 15,000-20,000 บาท ดังนั้นวันนี้ moneyguru จะพาท่านไปดูวิธี ผ่อนคอนโด ฉบับมนุษย์เงินเดือน แบบรวดเร็ว 10 ปีก็หมดแล้ว เพื่อที่ท่านจะได้นำไปเป็นแนวทางในการผ่อน คอนโด ในอนาคตนั้นเอง
ผ่อนคอนโด ฉบับมนุษย์เงินเดือน แบบคนเงินน้อยและแบบรวดเร็ว 10 ปีก็หมดแล้ว
สำหรับท่านที่ต้องการผ่อนคอนโดให้หมดเร็ว ภายใน 10 ปีถึงจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเริ่มต้นแค่ 15,000 บาทก็ทำได้สำหรับไอเดียนี้เหมาะมากๆสำหรับท่านที่เริ่มคิดจะซื้อคอนโคโดยมีวิธีการมีดังนี้…
เงินเดือน 15,000 สามารถคอนโดได้สูงสุดกี่บาท
ท่านที่จบมาใหม่ๆเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท และอยากที่จะมีคอนโดสักหนึ่งห้องการจะซื้อเงินสดคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆดังนั้นหลายๆท่านจึงมักจะเลือกไปกู้ตามธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างถึงแม้ว่าการขอกู้จะคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะผ่านแต่มันก็สามารถทำได้ แต่หากกู้ผ่านแล้วหลายๆท่านอาจจะคิดว่าจะผ่านรอดหรือไม่เพราะไหนจะต้องเก็บเงินไว้ผ่อนแล้วไหนจะต้องเก็บเงินเหลือไว้ใช้จ่าย ดังนั้นเดี๋ยวเราพาไปดูหลักการเบื้องต้นในการขอกู้เงินเพื่อนำมาผ่านคอนโด
หลักการเบื้องต้นในการขอกู้เงินซื้อคอนโด
หลักของการกู้เงิน ผู้กู้สามารถแบกรับภาระได้ไม่เกิน 40% ของรายได้เท่านั้น เพราะคุณต้องคำนึงเรื่องรายจ่าย และความเป็นอยู่ต้องไม่กระทบกันมากนักจนไม่ไหว ในปัจจุบันปัญหาการขอสินเชื่อซื้อบ้านไม่ผ่านเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกำลังกลายเป็นผลกระทบทั้งผู้ปริโภคและผู้ประกอบการ โดยผู้บริโภคจะเกิดปัญหาซื้อบ้านไม่ได้หรืออาจต้องเสียเงินจองและเงินทำสัญญาไปฟรีๆ ในกรณีที่ผู้ซื้อบ้าน ในปัจจุบันดอกเบี้ยได้เริ่มปรับลดลงซึ่งในเดือนเมษายนนี้อาจจะมีข่าวดีปรับลดลงของดอกเบี้ยอีก 0.25% ก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่กำลังคิดจะซื้อบ้านในเร็ววันนี้ โดยอาจจะต้องเดินบัญชีรายรับรายจ่าย อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
ตัวอย่าง วิธีคำนวนคนเงินเดือน 15,000 บาท จะสามารถผ่อนคอนโดสูงสุดได้เท่าไร
15,000 x 40% = 6,000 บาท (หากผู้กู้มีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนจะสามารถผ่อนบ้านสูงสุด 40% ของรายได้คือเป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท)
ในกรณีที่ผู้กู้คอนโดมีภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระอยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถยนต์อยู่ เดือนละ 6,200 บาท ซึ่งหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนอยู่นี้จะนับรวมในจำนวนเงิน 6,000 บาท ทำให้ผู้กู้เหลือความสามารถในการผ่อนคอนโดต่อเดือนลดลง (6,000 – 6,200) ทำให้เงินเหลือแค่ 2,800 บาทต่อเดือนเท่านั้น แน่นอนไม่พอชัวร์ที่คุณจะผ่อนบ้าน ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณต้องเลือกเองแล้วระหว่างบ้านหรือรถ แต่ถ้าคุณไม่มีหนี้สินเรื่องรถเลย คุณก็มีความสามารถในการผ่อนคอนโดอยู่ที่ 6,000 บาทต่อเดือน
วิธีคำนวนเงินเดือนว่าสามารถขอกู้ได้วงเงินกู้สูงสุดได้เท่าไร
สูตรวิธีคิดคือ (จำนวนเงินผ่อนชำระต่องวด: วงเงินกู้ = 6,000 บาท : 1,000,000 บาท) หรือความหมายก็คือเงินเดือน 15,000 บาทไม่มีภาระหนี้สินกู้ได้สูงสุด 1,000,000 บาท แต่ถ้ามีภาระหนี้สิน ให้คิดตามตั่วอย่างเช่น
ความสามารถในการชำระเงินที่คำนวณได้ 15,000 – เป็นหนี้รถ 8,000 บาท เหลือ = 7,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด = (1,000,000 x 14,000) ÷ 7,000 = 2,142,857 บาท
ดังนั้นเงินเดือน 15,000 บาท ธนาคารโอเคที่ผ่อนเดือนละ 7,000 บาท
- ระยะเวลาผ่อนชำระ 15 ปี กู้ได้ 647,000 บาท
- ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี กู้ได้ 744,000 บาท
- ระยะเวลาผ่อนชำระ 25 ปี กู้ได้ 811,000 บาท
เงินเดือน 15,000 ถ้าอยากได้คอนโดราคา 4 ล้านต้องทำอยากไร
ท่านที่ต้องการอยากจะได้คอนโดราคาแพงๆแต่เรามีเงินเดือนแค่ 15,000 บาท ทำเรื่องกู้คงจะไม่ผ่าน ดังนั้นวิธีที่พอจะทำให้สามารถที่จะทำได้คือการ กู้ร่วมซื้อคอนโด นั้นเอง โดยผู้กู้ร่วมจำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัวที่นามสกุลเดียวกันหรือสามีภรรยา โดยผู้กู้ร่วมแต่ละคนจะต้องเอารายได้ไปหักค่าใช้จ่ายมาร่วมกันคิด ตัวอย่างเช่น พ่อของท่านผู้ขอกู้มีเงินเดือน 20,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีเงินเหลือ 13,000 มารวมกับ ของท่านที่มี 15,000 จะเป็น 28,000 ซึ่งจะทำให้เรามีรายได้เหลือมากขึ้น จะทำให้เราสามารถเพิ่มวงเงินสำหรับกู้ได้สูงขึ้นดังนั้นหากท่านอยากกู้คอนโดราคา 4 ล้านบาทท่านก็อาจจะต้องหากผู้กู้รวมมานั้นเอง
ตัวอย่างการคำนวนวงเงินสำหรับผู้กู้ร่วม
วงเงินที่เราสามารถกู้ได้ โดย คอนโดหรือบ้านโดยทั่วไปจะสามารถขอกู้ได้ถึง 85% ของราคาที่ประเมิน และ ขอกู้ได้ไม่เกิน 85% ของราคาซื้อขาย แต่ในด้าน อาคารพาณิชย์ จะสามารถกู้สูงสุดได้ไม่เกิน 75% ของราคาประเมิน และก็ไม่เกิน 75% ของราคาซื้อขายกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี จึงจะสามารถทำการกู้ได้ โดยจะมีเกณฑ์ ดังนี้
- เงินเดือนที่สามารถชำระได้ต่อเดือน = เงินเดือนที่เราได้รับ x DSR หรือ ภาระหนี้ทั้งหมดหารด้วยรายได้สุทธิ โดยแต่ละธนาคารจะมีเกณฑ์ ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะยิ่งเรามีเงินเดือนเยอะ จะยิ่งทำให้ ค่า DSRปรับขึ้นเพิ่มตามไปด้วย แต่หลักการประมาณส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 40%
- วงเงินที่เราสามารถกู้ได้ =เงินที่สามารถชำระได้ต่อเดือน –ภาระผ่อนอื่นๆ x 150 หรือคิดง่ายๆคือ เงินเดือน 25,000 บาท ผ่อนTV 3,000 คำนวณเงินที่เราสามารถชำระได้ในแต่ละเดือนได้ 25,000 x 40% = 10,000 บาท และเราสามารถกู้ได้ (10,000 – 3,000) x 150 = 1,050,000 บาท
โดยสรุปได้ว่าหากมีเงินเดือนอยู่ที่ 25,000 บาท และ ผ่อนTV 3,000 บาท จะสามารถขอกู้ธนาคารซื้อบ้านได้ถึง 1,050,000 บาทเลยทีเดียว ที่นี้เรามาดูตารางเปรียบเทียบปริมาณเงินเดือนกับปริมาณเงินที่สามารถ กู้ซื้อบ้าน ได้ โดยคิดที่ DSR 40% มีระยะเวลาสัญญา 30 ปีโดยไม่มีภาระทางการเงินอื่นๆ
หลักการวิธีผ่อนคอนโดแบบ 10 ปีหมด สำหรับคนเงินเดือนเยอะ
คอนโดราคาประมาณ 4 ล้านบาท ท่านที่สนใจเงินเดือนๆละ 50,000 บาท โดยปกติต้องผ่อนคอนโดเดือนละ 20,000 บาท โดยวิธีนี้ท่านจะต้องผ่อนเป็น 2เท่า นั้นคือ 40,000 บาทเท่ากับว่าเราจะเหลือเงินใช้แต่ละเดือนแค่ 1หมื่นบาทเท่านั้น ถ้ามองแบบนี้ หลายๆท่านอาจจะคิดว่าอย่าผ่อนเลย สุดท้ายคงไม่ลอดแน่ๆ คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้น เดือนละ 20,000 บาท ตามทั่วไป มันก็ไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงได้เป็ยเจ้าของจริงๆ (โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน) แต่ถ้ากัดฟันทำตามวิธีนี้ถึงแม้ว่ามันจะดูลำบากแต่ ไม่เกิน 10 ปีบ้านก็จะเป็นของเราแล้ว
โดยปกติกการผ่อนคอนโดดอกเบี้ยจะแพงมากๆ นั้นก็เพราะว่าธนาคารจะเอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป MLR-1% หรือคือ ดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี อย่าไปสนใจตัวเลขนี้ดูแล้ว งงๆ เพราะเวลาเรา ผ่อนบ้าน มันจะมี 1-3 ปีแรก หลายๆแบบ 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว แบบขั้นบันไดบ้าง หรือสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7 % ต่อปีแบบเท่ากันหมดหรือเอาแบบบ้านๆ คือ เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หาก ท่านผ่อน เดือนละ 20,000 บาท ท่านเห็นในบิลเลยว่า…ดอกเบี้ย = 12,000 บาท (หัก) เงินต้น = 8,000 บาท นี้คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ ดอกแพงหรือยังครับ?? กู้ไป 4 ล้าน เมื่อไหร่จะหมด?? (4,000,000 – 8,000 = 3,992,000) โดยวิธีนี้คือการ ผ่อน 2 เท่า คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 10,000 บาท วิธีนี้ถ้าคนไม่มีภาระจะดีที่สุด เพราะหากมีภาระแล้ว อยากใช้วิธีนี้ แนะนำ ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาหรือหาแนวทางอื่นที่อาจจะช้ากว่าวิธีนี้หน่อยจะดีกว่า
วิธีคือ โดยทั่วไปธนาคารมักจะให้หักค่างวดจาก บัญชีธนาคารของ Bank นั้นๆเลย เงิน 20,000 บาทแรก (ดอก12,000 + หักต้น 8,000) โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มอีก เท่านึง 20,000 บาทหลัง คือการ หักเงินต้น 100% หรือ หักไปเลย อีก 20,000 ได้โดยการไปจ่ายที่เคาเตอร์ธนาคารที่กู้ โดย ควรไปจ่ายเพิ่มอีก เท่านึงตอน ต้นเดือน เพราะโดยปกติ ธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเรา ตอนสิ้นเดือน (ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) นั้นก็เพราะว่า ถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น แบงค์จะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน ประมาณนี้ (500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท) ฟังแล้วอย่าตกใจเพราะ ตอนแบงค์หักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้ว จากนั้น ครบ 3 ปี เราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับ แบงค์อื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ ดีกว่า เพราะครบ 3 ปี เราจะไม่ได้โปรจากแบงค์เดิมแล้ว ปีที่ 4 ทุกแบงค์จะคิดดอกเบี้ยลอยตัว ดังนั้นควรไปรีไฟแนนซ์ เพื่อ โปรดอกเบี้ยที่ถูกลง แต่ไม่ควรทำก่อน 3 ปีเพราะจะโดนค่าปรับได้และเหมือทำตามวิธีที่ว่ามานี้ นั้นก็หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้น เดือนนั้น ได้ถึง 8,000 + 20,000 บาท หรือ 3.5 เท่า ของการหักโดยปกติ !!! (4,000,000 – 28,000 = 3,972,000)
จากด้านบนเงินต้นที่กู้ Bank มา ลดลงเร็วเยอะขึ้น มาจากที่เราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับ ค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว เมื่อทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอสิ้นปีได้ โบนัส หรือ ถูกหวย ได้เงินพิเศษมา เดือนนั้น ก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่.. บางครั้งเราก็จำเป็นใช้เงิน ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้ หรือไม่จ่ายเพิ่มเดือนนั้น แต่อย่าทำบ่อยนะ ถ้ามีครั้งแรก…ย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ ไม่นาน พอผ่านไปซัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลย เงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมากๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอน ดังนั้น หนี้จาก 4ล้าน ก็จะเหลือไม่ถึง 3 ล้าน ประมาณ 2ล้านปลายๆ ถ้าผ่อนแบบปกติ ครบ 3 ปี เงินต้นจะลด ไปแค่ 1 แสนบาท เอง หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อยๆ หนี้สินก็จะหมด ภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้แล้ว ถ้าไม่สร้างหนี้
ในช่วงภาวะวิกฤตไวรัสโควิด-19แบบนี้ MoneyGuru ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพและเป็นกำลังใจให้เราผ่านช่วงนี้ไปด้วยกัน ส่วนใครที่มองหาตัวช่วยเงินกู้สำหรับใช้ในการจับจ่ายใช้สอยที่ง่าย สะดวก และทำได้ที่บ้าน เรายังมีตัวช่วยสำหรับการ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือจะเป็นบัตรเครดิตอื่นๆ ให้เลือกใช้ เข้ามาเปรียบเทียบบัตรเครดิตได้ทุกวันที่ MoneyGuru นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้ทางช่องทาง LINE @MoneyGuruThailand รับรองว่าคุณจะได้คำแนะนำราคาเบี้ยประกันที่ดีที่สุดจากเรา
พิเศษสำหรับเดือนนี้ ท่านไหนที่ยังไม่มีบัตรกดเงินสด สามารถเข้ามาดูบัตรกดเงินสดที่เหมาะกับคุณได้ที่นี่ เพราะ MoneyGuru ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินไว้ให้พร้อมสรรพ นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และประกันรถยนต์ดีๆ มาเปรียบเทียบเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
เนื่องจากในทุกวันนี้ การใช้รถใช้ถนนมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากผู้ใช้รถทุกคนต้องไม่ประมาทและควรระมัดระวังในการขับขี่แล้ว การทำประกันภัยรถยนต์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้ท่านเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น ดังนั้นทาง www.moneyguru.co.th ต้องการที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายจากการจ่ายเบี้ยประกันด้วยการ ลดราคาเบี้ย 5% พร้อมรับบัตรเติมน้ำมัน 500 บาท รับมือพิษเศรษฐกิจในเวลานี้
ไม่พลาดทุกเรื่องราวข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @MoneyGuruThailand
รายละเอียดและข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อที่ปรากฏบนเว็บไซต์นี้ ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการโปรโมทผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทต่างๆ เท่านั้น เว็บไซต์ของเรา เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำข้อมูลหรือรายละเอียดต่างๆ ขึ้นมาเอง โดยบริษัทบัตรเครดิตหรือสินเชื่อที่มีรายชื่อข้างต้นมิได้มีส่วนในการจัดทำข้อมูลดังกล่าวร่วมกับเรา
ที่มา ธอส.