โควิดเป็นแรงส่งสำคัญทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยขยายตัวอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และสถานการณ์การระบาดทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บรรดาผู้ประกอบการต้องปรับตัวรองรับมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดและขยายวงกว้างขึ้น
ล่าสุดเป็น 29 จังหวัด รวมถึงกรณีทีมงานติดเชื้อหรืออยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง บางรายถึงกับต้องขยับเวลาให้บริการ และปิดสาขาบางแห่งชั่วคราว เรียกว่าปรับกันอลหม่าน เพื่อให้กระทบการขนส่งสินค้าน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 1 ในผู้ประกอบการโลจิสติกส์จากจีนที่เข้ามาบุกตลาดบ้านเรา มีเบสท์ เอ็กซ์เพรสรวมอยู่ด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “เจสัน เชียน” ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการ บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ดังนี้
Q : สถานการณ์โควิดกับการดูแลพนักงาน
การระบาดระลอกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเราเข้าใจดีว่าระบบการขนส่งเป็นสิ่งที่สำคัญจึงได้เพิ่มมาตราดูแลความปลอดภัยทั้งพนักงาน ลูกค้า และการบริหารจัดการภายในคลังสินค้า
โดยการดูแลเพิ่มเติมในส่วนของพนักงานขนส่ง ศูนย์กระจายสินค้า และศูนย์บริการสาขา 77 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่มีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคทุกวัน และให้พนักงานตรวจโควิดก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง
รวมถึงพยายามจัดหาวัคซีนให้พนักงาน คาดว่าภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ พนักงานทั้งหมดกว่า 1 พันคนของเราจะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มและอยู่ระหว่างจัดหาวัคซีนให้กับแฟรนไชส์ที่มีกว่า 220 รายทั่วประเทศด้วย
Q : แผนในการบริหารจัดการเป็นอย่างไร
บริษัทได้นำโมเดลการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์จากประเทศจีนเข้ามาใช้ในประเทศไทย หากเกิดกรณีฉุกเฉิน หรือพบว่ามีพนักงานติดเชื้อโควิด-19 ก็จะสั่งกักตัวพนักงานที่เกี่ยวข้อง 14 วันทันที พร้อมจัดหาทีมงานเอาต์ซอร์ซเข้ามารับช่วงการจัดการพัสดุต่อทันที เพื่อไม่ให้กระทบต่อระบบการขนส่งควบคู่ไปกับการมีทีมสำหรับติดตาม และการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อได้รับแจ้งว่าหมู่บ้าน หรือพื้นที่ที่จะจัดส่งพัสดุใด ๆ เป็นพื้นที่เสี่ยงมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เราก็จะรับแจ้งให้พนักงานส่งพัสดุทราบแล้วปรับการจัดส่งพัสดุที่ปากทางเข้าหมู่บ้านหรือในพื้นที่ปลอดภัยแทน เพื่อลดความเสี่ยงให้พนักงานด้วย
Q : การขยายพื้นที่ล็อกดาวน์มีผลต่อการจัดส่ง
จากมาตรการควบคุมพื้นที่สูงสุดใน 29 จังหวัดของรัฐบาล ส่งผลให้การขนส่งพัสดุของบริษัทล่าช้าลงเล็กน้อย หรือคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลาขนส่งในบางพื้นที่ แต่โดยรวมยังจัดส่งพัสดุได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
Q : ยอดขนส่งพัสดุเป็นอย่างไร
ต้องยอมรับว่า ช่วงที่คู่แข่งมีปัญหา ยอดขนส่งของเบสท์ฯเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยปัจจุบันมียอดจัดส่งพัสดุเฉลี่ยวันละ 400,000 ชิ้นต่อวัน
เพิ่มจากต้นปีที่ผ่านมาที่มียอดจัดส่งพัสดุเฉลี่ย 300,000 ชิ้นต่อวันแต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามลดความเสี่ยงของพนักงานจัดส่งของเราด้วย เพื่อไม่ให้การขนส่งสะดุดหรือล่าช้า
Q : ภาพรวมการแข่งขันในไทย
ต้องบอกว่าแม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นไปกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันตลาดโลจิสติกส์ไทยแข่งขันค่อนข้างดุเดือดอยู่แล้วโดยเฉพาะจากการแข่งขันด้านราคา
ดังนั้น บริษัทจึงต้องสร้างความแตกต่างและเพิ่มศักยภาพให้การบริหารการขนส่ง เช่น การนำเทคโนโลยี และระบบต่าง ๆ มาใช้ อย่างการนำสายพานคัดแยกพัสดุอัตโนมัติเข้ามาช่วยศูนย์กลางกระจายสินค้า เพื่อเพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น
อีกจุดแข็งสำคัญของเรา คือ การขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์ 100% ทำให้สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการที่เจ้าของแฟรนไชส์เป็นคนในพื้นที่ ก็จะมีความชำนาญในการจัดการต้นทุน
และการหาพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจได้ดีกว่า ทำให้ประสิทธิภาพการขนส่งดีขึ้น ปัจจุบันมีแฟรนไชส์ทั้งสิ้น 220 ราย กระจายทั่ว 77 จังหวัด
นอกจากนี้ บริษัทพยายามสร้างความแตกต่างให้กับการบริการ โดยเน้นการส่งสินค้าสินค้าชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนัก 21-100 กก.มากขึ้น
พร้อมไปกับการโหมจัดโปรโมชั่นเพื่อสร้างการรับรู้ เราตั้งเป็นเป้าไว้เลยว่า ถ้าลูกค้าต้องการส่งสินค้าชิ้นใหญ่จะต้องคิดถึง “เบสท์ เอ็กซ์เพรส”
ส่วนเป้าในระยะยาวกว่านั้น คือการผลักดันให้เบสท์ เอ็กซ์เพรสขึ้นเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์เบอร์ 3 ของไทยให้ได้ภายในปี 2565
Q : แผนการตลาดครึ่งปีหลัง
ปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้งบฯการตลาดประมาณ 10% ของรายได้รวมเช่นเดียวกันปีก่อน โดยในครึ่งปีหลังจะจัดโปรโมชั่นด้านราคาเพิ่มขึ้น ทั้งแคมเปญส่งพัสดุน้ำหนัก 0.5 กก. ราคา 9 บาท
ซึ่งถือเป็นค่าส่งต่ำที่สุดในตลาด รวมถึงการลดราคาค่าส่งสินค้าชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนัก 21-100 กก. ลง 30% จากปกติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้บริการโดยเฉพาะการส่งพัสดุชิ้นใหญ่
ในส่วนบริการใหม่ ๆ ก่อนหน้านี้ เราได้เปิดตัวบริการส่งพัสดุหลายกล่องรวมกันใน 1 เวย์บิล (BEST Multiple Parcel) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อทีวี พร้อมขาทีวี เดิมจะแยกเป็น 2 กล่อง ซึ่งอาจจะส่งไปพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นบริการนี้ลูกค้าจะได้รับสินค้าพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวบริการใหม่ คือ บริการขนส่งข้ามพรมแดน (cross border) โดยการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบ full-link จากประเทศจีนไปยังประเทศไทยโดยตรงแบบ door to door
เริ่มให้บริการเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากการจับมือกับอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน อย่าง เถาเป่า และโลจิสติกส์ ไช่เหนียว เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าจากเถาเป่า ก็สามารถเลือกการขนส่งด้วยเบสท์ เอ็กซ์เพรสได้ทันที
Q : Cross Border ของบริษัทต่างจากคู่แข่งอย่างไร
เมื่อลูกค้าสั่งสินค้าจากเถาเป่า แล้วเลือกขนส่งด้วยเบสท์ เอ็กซ์เพรส สินค้าก็จะส่งมาที่คลังสินค้าของเบสท์ฯในเมืองเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน และเข้าพิธีการทางศุลกากรในประเทศไทย
พร้อมจัดส่งพัสดุต่อมายังศูนย์กระจายสินค้ากรุงเทพมหานคร เพื่อทำการคัดแยกและจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าทั่วประเทศได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ถึงหน้าบ้านภายใน 7-10 วันทำการ
ความแตกต่าง คือ ลูกค้าไม่ต้องเสียค่าส่ง 2 ต่อ เหมือนกับการสั่งซื้อผ่านบริษัทชิปปิ้งต่าง ๆ ที่ต้องเสียค่าขนส่งจากจีนมาไทย และต้องเสียค่าขนส่งภายในประเทศอีก
ถ้าส่งผ่านเราเสียค่าส่งเพียงครั้งเดียวในราคาเริ่มต้นที่ 15 หยวนต่อน้ำหนัก 1 กก. เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดราคาเริ่มต้นที่ 16.5 หยวนต่อน้ำหนัก 1 กก.
เรามั่นใจว่าบริการนี้จะทำให้เบสท์ เอ็กซ์เพรสสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากขึ้น