การแพร่ระบาดของโควิด-19
เป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้การทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking และ
e-Wallet มีการเร่งการเติบโตสูงขึ้น
สะท้อนจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า
ผู้บริโภคไทยโดยภาพรวมมีการโอนเงินและชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน Mobile
banking และ e-Wallet อยู่ที่
19 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มมากกว่าการใช้งานในช่วงการระบาดระลอกแรกที่มีอัตราการใช้งานอยู่ที่
17 ครั้งต่อสัปดาห์ ขณะที่มีผู้บริโภคกว่าร้อยละ 53.9 มีการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
คาดว่า ในปี 2564 คาดว่า ในปี 2564 ปริมาณการทำธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินผ่าน Mobile
Banking จะขยายตัวราวร้อยละ 80.2 – 83.5
YoY ซึ่งเร่งขึ้นจากปี 2563 ที่ร้อยละ 79.7
เช่นเดียวกับประมาณธุรกรรมผ่าน e-Money ที่คาดว่าจะเติบโตราวร้อยละ 15.8
– 18.0 ซึ่งสูงกว่าปี 2563 ที่ร้อยละ 8.7 ด้านมูลค่าการทำธุรกรรมผ่าน Mobile
Banking คาดว่าจะขยายตัวราวร้อยละ 36.5 – 38.0
YoY ใกล้เคียงกับปี 2563 ขณะที่ มูลค่าการทำธรกรรมผ่าน e-Money คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ
15.5-17.7 ซึ่งสะท้อนการเติบโตเร่งขึ้นจากร้อยละ 9.9 ในปี 2563
โดยน่าจะมีแรงผลักดันหลักมาจากการใช้ G-Wallet (เป๋าตัง)
จากโครงการช่วยเหลือของภาครัฐที่น่าจะมีอย่างต่อเนื่องในปี 2564 อีกทั้ง
ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือและมีศักยภาพที่เข้ามาทำการตลาดมากขึ้นด้วย
จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสองและสามตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้หลายๆ ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ในอีกด้านหนึ่ง การทำธุรกรรมผ่าน
Mobile Banking และ e-Wallet กลับได้รับอานิสงส์ให้เติบโตเร่งขึ้น
เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงการสัมผัสธนบัตรและเหรียญ
รวมถึงมีความคุ้นชินกับการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ดังกล่าวมากขึ้น
ผลสำรวจ KResearch ชี้ว่า
โควิดรอบใหม่ดันยอด Mobile Banking และ e-Wallet เติบโต
จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ปริมาณการใช้งานผ่าน Mobile
Banking และ e-Wallet ยังคงเติบโต
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
โดยผู้บริโภคไทยโดยภาพรวมมีการโอนเงินและชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน Mobile
banking และ e-Wallet อยู่ที่
19 ครั้งต่อสัปดาห์
ซึ่งเพิ่มมากกว่าผลสำรวจการใช้งานภายหลังจากการระบาดระลอกแรกในเดือนสิงหาคม 2563
ที่มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 17 ครั้งต่อสัปดาห์ ขณะที่มีผู้บริโภคกว่าร้อยละ 53.9
มีการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งมาจากกล่มผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ที่จำกัด อาทิ
พนักงานบริษัทขนาดใหญ่ ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ที่ยังเห็นการใช้งานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะของการ Work from Home และการลดการเดินทางเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการแพร่ระบาดของโควิด
ขณะที่ ผู้บริโภคที่ซื้อเพิ่มขึ้นนี้มียอดการซื้อต่อครั้งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจครั้งก่อน
350 บาท โดยยังคงเน้นการใช้จ่ายไปที่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
สินค้าอุปโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และสินค้าแฟชั่น เหมือนดังการสำรวจรอบก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบกับผู้บริโภคบางส่วน
ทำให้รายได้ลดลงอันเนื่องมาจากถูกลดเงินเดือนหรือยอดขายสินค้าลดลง
หรือขาดรายได้อันเนื่องมาจากตกงาน สะท้อนจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า
มีผู้บริโภคราวร้อยละ 8.3 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน Mobile
Banking และ e-Wallet ลดลง
โดยมียอดซื้อต่อครั้งลดลง 600 บาท
Mobile Banking ของสถาบันการเงินต่างๆ
ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคไทย
ซึ่งส่วนหนึ่งคงมีสาเหตุจากการที่สถาบันการเงินมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่มากขึ้น
ขณะที่ ฟังก์ชั่นการใช้งานสำหรับการชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน Mobile
Banking ก็เป็นที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้บริโภคปรับตัวในการใช้งานได้เร็ว
นอกจากนี้ ผู้บริโภคไทยยังคงนิยมซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ค
(Social Commerce) อาทิ Facebook, Instagram หรือ
LINE ซึ่งร้านค้าหรือผู้ขายมักมีการรับชำระค่าสินค้าผ่านบัญชีของธนาคารพาณิชย์
ส่งผลให้ปริมาณการใช้ Mobile Banking ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
ธุรกรรมชำระเงินออนไลน์สองเดือนแรกของปี 2564
พุ่ง . ขณะที่คาดทั้งปี 64 ปริมาณธุรกรรมผ่าน Mobile Banking ขยายตัวกว่า
80%
นอกเหนือจากผลสำรวจข้างต้นแล้ว
ข้อมูลปริมาณธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินผ่าน Mobile Banking และ
e-Money ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2564 ที่ผ่านมา
มีอัตราการขยายตัวราวร้อยละ 90.2 และ 28.9 ซึ่งเร่งตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี
2563 ที่มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 65.6 และร้อยละ 2.3 ตามลำดับ
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายตัวที่เร่งขึ้นนั้น น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้เงินสดลดลง
อันเนื่องมาจากความกังวลต่อการเชื้อไวรัสที่อาจมาจากธนบัตร
และผู้บริโภคทั่วไปก็เริ่มมีความคุ้นชินกับการใช้ Mobile Banking และ
e-Wallet มากขึ้น โดยเฉพาะจากการใข้แอปพลิเคชัน G-Wallet
(เป๋าตัง) จากเงินช่วยเหลือภาครัฐในตลอดช่วงปี 2563
ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ ทางฝั่งธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการ
e-Wallet ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ที่มีฐานผู้ใช้เป็นจำนวนมาก
อาทิ e-Market Place หรือ Food Delivery ทำให้สามารถชำระเงินผ่าน
Mobile Banking และ e-Wallet ได้ง่ายและสะดวกขึ้น
และผู้ประกอบการเองก็ได้มีการออกโปรโมชั่นลดราคาค่าสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้รายใหม่
ทำให้มีจำนวนผู้ใช้รายใหม่และปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น
ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ก็เข้ามาในตลาด e-Wallet มากขึ้น
อย่างเช่น ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่
ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นทุนเดิม
ทำให้ผู้บริโภคกล้าที่จะทดลองใช้ e-Wallet ของผู้ประกอบการรายใหม่เหล่านั้น
ทั้งนี้
ทิศทางดังกล่าว
ผนวกกับอานิสงส์ของกิจกรรมการใช้จ่ายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิดระลอกสาม
คงทำให้ปี 2564 ยังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่การทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking และ
e-Wallet มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณว่า ปริมาณการทำธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินผ่าน Mobile
Banking ในปี 2564 จะขยายตัวราวร้อยละ 80.2 – 83.5
YoY ซึ่งเร่งขึ้นจากปี 2563 ที่ร้อยละ 79.7
โดยส่วนหนึ่งจะเป็นอานิสงส์ทางอ้อมจากโครงการช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น อาทิ
โครงการคนละครึ่งเฟสสามที่จะดำเนินการในปี 2564 จะส่งผลให้เกิดการใช้งาน Mobile
Banking เพื่อโอนเงินเข้าสู่ G-Wallet (เป๋าตัง)
เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับประมาณธุรกรรมผ่าน e-Money ที่คาดว่าจะเติบโตราวร้อยละ
15.8 – 18.0 ซึ่งสูงกว่าปี 2563 ที่ร้อยละ 8.7
(แม้อัตราการเติบโตของทั้งปี 2564 ดังกล่าว
มีโอกาสจะชะลอลงจากตัวเลขที่ปรากฏในช่วงสองเดือนแรกของปี 2564 รวมถึงในช่วงไตรมาส
2 ของปี หากภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสและเร่งอัตราการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมได้มากขึ้น
จนมีผลให้พนักงานกลับไปทำงานในที่ทำงานมากขึ้น)
ด้านมูลค่าการทำธุรกรรมผ่าน
Mobile Banking คาดว่าจะขยายตัวราวร้อยละ 36.5–38.0
YoY ใกล้เคียงกับปี 2563 สะท้อนมูลค่าธุรกรรมต่อครั้งที่ลดลง เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น
โดยเฉพาะจากร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการเปิดรับการชำระเงินผ่าน Mobile
Banking ผ่านการสแกน QR Code กันมากขึ้น
ขณะที่ มูลค่าการทำธรกรรมผ่าน e-Money คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 15.5-17.7
ซึ่งสะท้อนการเติบโตเร่งขึ้นจากร้อยละ 9.9 ในปี 2563
โดยทั้งปริมาณและมูลค่าการทำธุรกรรมผ่าน e-Money ที่เร่งตัวขึ้นนั้น
น่าจะมีแรงผลักดันหลักมาจากการใช้ G-Wallet (เป๋าตัง)
จากโครงการช่วยเหลือของภาครัฐที่น่าจะมีอย่างต่อเนื่องในปี 2564 อาทิ
โครงการเราชนะ โครงการม.33 เรารักกัน โครงการคนละครึ่งเฟสสาม โครงการยิ่งใช้ยิ่งดี
อีกทั้ง
ยังได้รับแรงผลักดันจากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือและมีศักยภาพที่เข้ามาทำการตลาดมากขึ้น
โดยเฉพาะการออกโปรโมชั่นลดราคาสินค้าและบริการ ทำให้เกิดการใช้งาน e-Wallet
ในหมู่ผู้บริโภคไทยโดยภาพรวมเร่งตัวสูงขึ้น
คาดธุรกรรมโอนเงินและชำระเงินออนไลน์ผ่าน Mobile
Banking และ e-Money เติบโตเร่งขึ้นปี
2564
อย่างไรก็ตาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19
จะยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยโดยภาพรวม
เพียงแต่อาจเป็นที่น่าสังเกตว่า ปริมาณและมูลค่าธุรกรรมผ่าน Mobile Banking
และ e-Wallet ที่เพิ่มขึ้นนั้น
น่าจะมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการใช้จ่ายด้วยเงินสดลดลง
มากกว่าจะเป็นการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังอยู่บนความไม่แน่นอนท่ามกลางการระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้
ผู้ให้บริการ e-Wallet หรือแม้แต่ Mobile Banking อาจต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากในระยะข้างหน้า
จากการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด
เนื่องจากผู้บริโภคมีทิศทางเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว
และน่าจะมีความอ่อนไหวต่อกลยุทธ์ทางการตลาด โดยพร้อมที่จะเปลี่ยนแอปพลิเคชันที่ใช้งานเดิม
หากมีแรงจูงใจจากการใช้งานที่สะดวกสบายขึ้น มีโปรโมชั่นลดราคาค่าสินค้าและบริการ
หรือมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ สอดคล้องกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า
ปัจจัย 3 อันดับแรกที่ทำให้มีการใช้ e-wallet คือ
ความสะดวกสบายในการโอนเงินหรือชำระค่าบริการ (ร้อยละ 34.4)
มีโปรโมชั่นที่จูงใจต่อการใช้บริการ อาทิ ส่วนลดค่าสินค้าและบริการ (ร้อยละ 16.9)
มีร้านค้าที่ร่วมบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการที่หลากหลาย (ร้อยละ 16.2)
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ราวร้อยละ 32.3 มี Mobile Banking และ
e-Wallet มากกว่า 5 แอปพลิเคชัน
ดังนั้น
ผู้ให้บริการจึงอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาฐานลูกค้าของตนเอง
และความพยายามในการจูงใจให้ลูกค้ามีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน
หากในอนาคต ทางการไทยสามารถเข้ามาดูแลกิจกรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ
ดูแลร้านค้าในแพลตฟอร์มเพื่อบรรเทาต้นทุนค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ
ก็อาจมีผลต่อทิศทางหรือรูปแบบการชำระเงินในอนาคตด้วยเช่นกัน